วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ชนิดของคำ

คำในภาษาไทยจำแนกได้ 7 ชนิดคือคำนาม คำสรรพนาม คำกริยา คำบุรำบท คำสันธาน และคำอุทาน
คำนาม คือคำที่ใช้เรียนชื่อคน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ เช่น ครู นักปลา ดินสอโต๊ะ บ้าน โรงเรียน แบ่ง 5 ชนิด ได้แก่1. สามานยนาม ได้แก่นามที่เป็นชื่อทั่ว ๆ ไป เช่นหนู ไก่ โต๊ะ บ้าน คน2. วิสามานนาม เป็นชื่อเฉพาะ เช่น นายทอง เจ้าดำ ชื่อวัน ชื่อเดือน ชื่อจังหวัด ชื่อประเทศ ชื่อแม่น้ำ ชื่อเกาะ3. สุหนาม นามที่เป็นหมู่คณะ เช่น ฝูง โขลง กลอง หรือคำที่มีความหมายไปในทางจำนวนมาก เช่น รัฐบาล องค์กร กรม บริษัท4. ลักษณนาม เป็นคำนามที่บอกลักษณะของนาม มักใช้หลังคำวิเศษที่บอกจำนวนนับ เช่น ภิกษุ 4 รูป นาฬิกา 4 เรือน5. อาการนาม คือ นามที่เป็นชื่อกริยาอาการในภาษามักใช้คำว่า “การ” และ “ความ” นำหน้า เช่น การนั่งการกิน ความดี ความจนคำนามที่อยู่ในประโยคจะทำหน้าที่ได้ทั้งเป็นประธานและกริยาของประโยค เช่น
ประโยค ประธาน กริยา กรรมม้าวิ่ง ม้า วิ่ง -นักเรียนไปโรงเรียน นักเรียน ไป โรงเรียนแมวจับหนู แมว จับ หนูครูทำโทษสมชาย ครู ทำโทษ สมชาย
คำสรรพนาม
คำสรรพนาม คือคำที่ใช้แทนคำนาม เช่น ผม ฉัน หนู เธอ คุณข้าพเจ้า เขา ท่าน มัน เป็นต้น แบ่งเป็น 6 ชนิดได้แก่1. บุรุษสรรพนาม คือคำนามที่ใช้แทนชื่อ เวลาพูดกันบุรุษที่ 1 ใช้แทนผู้พูด เช่นผมฉัน ข้าพเจ้าบุรุษที่2 ใช้แทนผู้ฟัง เช่นคุณ เธอบุรุษที่ 3 ใช้แทนผู้กล่าวถึง เช่นเขา มัน2. ประพันธสรรพนาม คือคำสรรพนามที่ใช้แทน(เชื่อม)คำนามที่อยู่ข้างหน้า ได้แก่ คำว่า ที่ ซึ่ง อัน เช่นคนที่ออกกำลังกายเสมอร่างการมักแข็งแรงอเมริกาซึ่งเป็นเจ้าภาพแข่งขันชกมวยกำลังมีชื่อเสียงทั่วโลกมีดอันที่อยู่ในครัวคมมาก3. นิยมสรรพนาม ได้แก่สรรพนามที่กำหนดความให้รู้แน่นอนได้แก่ นี่ นั่น โน่น หรือ นี้ นั้น โน้น เช่นนี่เป็นเพื่อนของฉันนั่นอะไรน่ะโน่นของเธอของเธออยู่ที่นี่4. อนิยมสรรพนาม ได้แก่สรรพนามที่แทนสิ่งที่ไม่ทราบ คือไม่ชี้เฉพาะลงไปและไม่ได้กล่าวในเชิงถาม หรือสงสัย ได้แก่ ใคร อะไร ไหน ใด เช่นใครขยันก็สอบไล่ได้เขาเป็นคนที่ไม่สนใจอะไร5. ปฤจฉสรรพนาม ได้แก่สรรพนามใช้เป็นคำถาม ได้แก่คำ อะไร ใคร ที่ไหน แห่งใด ฯลฯ เช่นใครอยู่ที่นั่นอะไรเสียหายบ้างไหนละโรงเรียนของเธอ6. วิภาคสรรพนาม หมายถึงคำสรรพนามที่ใช้แทนคำนามซึ่งแสดงให้เห็นว่านามนั้น จำแนกออกเป็นหลายส่วน ได้แก่ ต่างบ้าง กัน เช่นนักเรียนต่างก็อ่านหนังสือเขาตีกันนักเรียนบ้างเรียนบ้างเล่น
คำกริยา
คำกริยา คือ คำแสดงอาการของนาม สรรพนาม แสดงการกระทำของประโยค เช่น เดิน วิ่ง เรียน อ่าน นั่ง เล่น เป็นต้น แบ่งเป็น 4 ชนิด1. สกรรมกริยา คือคำกริยาที่ต้องมีกรรมรับ เช่นฉันกินข้าวเขาเห็นนก2. อกรรกริยา คือคำกริยาที่ไม่ต้องมี่กรรมมารับก็ได้ความสมบูรณ์ เช่นเขานั่งเขายืน3. วิกตรรถกริยา คือ คำกริยาที่ไม่มีความหมายในตัวเอง ใช้ตามลำพังแล้วไม่ได้ความต้องมีคำอื่นมาประกอบจึงจะได้ความ ได้แก่ เหมือน เป็น คล้าย เท่า คือ เช่นผมเป็นนักเรียนคนสองคนนี้เหมือนกันลูกคนนี้คล้ายพ่อส้ม 3 ผลใหญ่เท่ากันเขาคือครูของฉันเอง4. กริยานุเคราะห์ คือคำกริยามี่ไม่มีความหมายในตัวเอง ทำหน้าที่ช่วยกริยาให้มีความหมายชัดเจนขึ้นได้แก่คำ จง กำลัง จะ ย่อม คง ยัง ถูก นะ เถอะ เทอญ ฯลฯ เช่นแดงจะไปโรงเรียนเขาถูกตีรีบไปเถอะ

คำวิเศษณ์ คือ คำที่ใช้ขยายคำอื่นให้ได้ใจความชัดเจนยิ่งขึ้น แบ่งออกเป็น 10 ชนิดคือ1. ลักษณะวิเศษณ์ บอกลักษณะ เช่น สูง ใหญ่ ดำ อ้วน ผอม แคบ หวาน เค็ม กว้าง2. กาลวิเศษณ์ บอกเวลา เช่น เช้า สาย บ่าย เย็น ดึก เดี๋ยวนี้ โบราณ3. สถานวิเศษณ์ บอกสถานที่ เช่น ใกล้ ไกล บน ล่าง4. ประมาณวิเศษณ์ บอกจำนวน เช่น หนึ่ง สอง น้อย มาก ทั้งหมด ทั้งปวง บรรดา5. นิยมวิเศษณ์ บอกความแน่นอน เช่น นี่ นี้ โน่น นั้น6. อนิยมวิเศษณ์ บอกความไม่แน่นอน เช่น กี่ อันใด ทำไม อะไร ใคร- กี่คนก็ได้- ใครทำก็ได้- เป็นอะไรก็เป็นกัน- คนอื่นไม่รู้ไม่เห็น
7. ปฤจฉาวิเศษณ์ บอกความเป็นคำถาม เช่น- แม่จะไปไหน- เธออายุเท่าไร- แกล้งเขาทำไม- ไยจึงไม่มา8. ประติชฌาวิเศษณ์ (บอกการตอบรับ) มีคำว่า คะ ครับ จ้ะ จ๋า ขา ฯลฯ9. ประติเศษวิเศษณ์ แสดงความปฏิเสธ เช่น ไม่ ไม่ใช่ หามิได้ บ่10. ประพันธวิเศษณ์ แสดงหน้าที่เชื่อมประโยค เช่น ที่ ซึ่ง อัน- เขาพูดอย่างที่ใคร ๆ ไม่คาดคิด- เธอเดินไปหยิบหนังสือซึ่งอยู่บนโต๊ะ- ของมีจำนวนมากอันมิอาจนับได้
คำบุพบท
คำบุพบท คือคำที่ใช้นำหน้าคำอื่นแบ่งออกเป็น 2 พวก คือ1. ไม่เชื่อมกับบทอื่น ได้แก่ คำทักทาย หรือร้องเรียน เช่น ดูกร ข้าแต่ อันว่า แน่ะ เฮ้ย2. เชื่อมกับบทอื่น ได้แก่ โดย ของ บน- พวกเราเดินทางโดยรถยนต์- ขนมเหล่านั้นเป็นของคุณแม่- นกเกาะอยู่บนต้นไม้- เขาเดินไปตามถนน- ฉันเขียนหนังสือด้วยปากกา- เขามาถึงตั้งแต่เช้า- ในหลวงทรงเป็นประมุขแห่งชาติ- เขาบ่นถึงเธอ- นักโทษถูกส่งไปยังเรือนจไ- ครูชนบทอยู่ไกลปืนเที่ยง- นักเรียนอ่านหนังสืออยู่ภายในห้องเรียน- ข้าวในนา ปลาในน้ำ- ประชาชนทุกคนอยู่ใต้กฎหมายของบ้านเมืองการใช้คำ กับ แก่ แด่ ต่อกับ ใช้กับการกระทำที่ร่วมกันกระทำ- เขากับเธอมาถึงโรงเรียนพร้อมกัน- พ่อกับลูกกำลังอ่านหนังสือแก่ ใช้นำหน้าผู้รับที่มีอายุน้อยกว่าผู้ให้ หรือเสมอกัน- คุณครูมอบรางวัลแก่นักเรียน- เขามอบของขวัญปีใหม่แก่เพื่อนแด่ ใช้นำหน้านามที่เป็นผู้รับที่มีอายุมากกว่า หรือกับบุคคลที่เคารพ- นักเรียนมอบของขวัญแด่อาจารย์ใหญ่- ฉันถวายอาหารแด่พระสงฆ์ต่อ ให้ในการติดต่อกับผู้รับต่อหน้า- จำเลยให้การต่อศาล- ประธานนักเรียนเสนอโครงการต่ออาจารย์ใหญ่- หาคนหวังดีต่อชาติ- ผู้แทนราษฎรแถลงนโยบายต่อประชาชาน
คำสันธานคำสันธาน คือคำเชื่อมคำ หรือประโยคเชื่อมประโยคให้ต่อเนื่องกัน มี 2 ลักษณะ คือ1. เชื่อมคำกับคำ เช่น พี่กับน้อง เขียนกับอ่าน ลูกและหลาน2. เชื่อมประโยคกับข้อความ หรือข้อความกับประโยค มี 4 ลักษณะคือก. คล้อยตามกัน เช่น พอล้างมือเสร็จก็ไปรับประทานอาหารข. ขัดแย้งกัน เช่น แม้เขาจะขยั้นแต่ก็เรียนไม่สำเร็จค. เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เธอจะอ่านหนังสือกรหรือจะเล่นง. เป็นเหตุเป็นผลกัน เช่น เพราะรถติดเขาจึงมาสาย
คำอุทาน
คำอุทาน คือคำที่เปล่งออกมาบอกอาการ หรือความรู้สึกของผู้พูดแบ่งออกเป็น 2 พวก คือ1. อุทานบอกอาการ หรือบอกความรู้สึก จะใช้เครื่องหมาย อัศเจรีย์ ( ! )กำกับข้างหลัง เช่นอุ๊ย ! พุทโธ่ ! ว๊าย! โอ้โฮ! อนิจจา!2. อุทานเสริมบท เป็นคำพูดเสริมเพื่อให้เกิดเป็นคำที่สละสลวยขึ้น เช่น- รถรา- กระดูกกระเดี้ยว- วัดวาอาราม- หนังสือหนังหา- อาบน้ำอาบท่า- กับข้าวกับปลา
http://www.st.ac.th/bhatips/tiptest/test_7word1.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น